- FacebookFacebook
- XTwitter
1721955
นับเป็นปีที่ ททท. ควรได้รับคำสรรเสริญ เพราะปีนี้ประเทศไทยดูจะได้รับการอวยยศไปมากโข นอกจากซีรีส์ The White Lotus 3 จะเล่าเรื่องในเมืองไทยแล้ว ยังตามมาด้วยหนัง Jurassic World: Rebirth และลงท้ายอย่างสวยงามด้วยซีรีส์ Alien: Earth ที่กำลังจะปิดฉากลงในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลงานระดับขึ้นหิ้ง เป็นปีที่สมกับคำว่าเมืองไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ ควรปรบมือรัว ๆ
นอกจากจะมีนักแสดงชาวไทยร่วมด้วย อาทิ เมธี “เทม” ทับทิมทอง, ปริญญา “เวย์ ไทเทเนียม” อินทชัย, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ธนพล “หน่อง” จักรสีดา, สหจักร “ปู” บุญธนกิจ และภัทรสุดา “บัว” อนุมานราชธน
เฉพาะใน Alien: Earth นี้เกิดการสร้างงานให้คนไทยมากว่า 24,787 คน แบ่งเป็น ทีมงานในธุรกิจภาพยนตร์: ประมาณ 13,943 คน เช่น ทีมกล้อง ช่างไฟ นักแสดงประกอบ และช่างฉาก ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง: อีก 10,845 ราย เช่น พนักงานขับรถ โรงแรม ร้านอาหาร รวมถึงฉากหลักยังใช้เมืองไทยเป็นโลกอนาคตในนาม New Siam นำเสนอภาพความเป็นไทยหลายอย่าง โดยเฉพาะฉากที่ตัวละครเอกทักทายเป็นภาษาไทยว่า “สวัสดีครับ” ไปจนถึงภาพบรรยากาศชายคลองในสมุทรปราการ และโลเคชั่นที่ใช้เป็นเกาะเนเวอร์แลนด์ก็ยังถ่ายทำที่ อ่าวนาง จังหวัดกระบี่อีก

แต่ไม่เท่านั้นเพราะที่เป็นประเด็นหลักแห่งการอวยยศในบทความนี้ อีกหนึ่งนางที่จะมองข้ามไม่ได้เลย คือ สุทธิรัตน์ แอนน์ ลาลาภ นักออกแบบสายเลือดไทยผู้มีพ่อแม่เป็นนักเรียนไทยทุนฟูลไบร์ทที่ไปตั้งรกรากในสหรัฐ แต่มิใช่แค่ Alien: Earth เท่านั้น แอนน์ เธอมีชื่ออยู่ในเครดิตผลงานระดับฮอลลีวูดมากมาย อาทิ ออกแบบคอสตูม 25 เรื่อง, ออกแบบโปรดัคชั่น 4 เรื่อง และฝ่ายศิลป์อีก 8 เรื่อง และแต่ละเรื่องไม่ใช่ไก่กา อาทิ The Beach (2000), Enigma (2001), Serendipity (2001), Men in Black II (2002), Alfie (2004), The Skeleton Key (2005), Sunshine (2007), Slumdog Millionaire (2008), The American (2010), Steve Jobs (2015), 127 Hours (2010), ซีรีส์ American Gods (2017), ซีรีส์ Trust (2018), James Bond: No Time to Die (2021), มินิซีรีส์ Obi-Wan Kenobi (2022) อีกมากมายสาธยายไม่ไหว
พ่อของเธอเป็นศัลยแพทย์หัวใจ แอนน์ก็เกิดที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา และเติบโตในเขตเวนทูรา รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอสนใจทางวาดภาพตั้งแต่อายุยังน้อย และเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ด้าน studio art (การเรียนศิลปะในทางปฏิบัติ เน้นสร้างสรรค์ผลงานด้วยเทคนิคสื่อหลากหลาย ทั้งแบบดั้งเดิมและดิจิทัล) ก่อนที่จะได้ทุนเจคอบ เค. จาวิตส์ (มอบให้แก่นักศึกษาที่มีความสามารถทางวิชาการดีเยี่ยม เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก ในสาขาศิลปกรรมศาสตร์ เป็นทุนที่มีการแข่งขันสูงมาก แต่ละปีจะมีเพียง 6-8% เท่านั้นที่จะได้ทุนนี้) แล้วเข้าเรียนปริญญาโทศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้คณะละครมหาวิทยาลัยเยล โดยการดูแลของ หลี่หมิงโฉว (มิง โช ลี) นักออกแบบฉากชาวจีน-อเมริกัน ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเยล ผู้ได้รับการเสนอชื่อสู่หอเกียรติยศด้านการละครอเมริกันเมื่อปี 1998, คว้ารางวัลเหรียญศิลปะแห่งชาติในปี 2002 และรางวัลสำคัญ ๆ มากมาย
หลังจากเรียนจบแอนน์ก็ย้ายไปลอนดอน เป็นผู้ช่วยนักออกแบบด้านฉากและคอสตูมให้กับโปรดัคชั่นของ ริชาร์ด ฮัดสัน (ชาวซิมบับเว เจ้าของรางวัลโทนี่ สาขาออกแบบฉากยอดเยี่ยมจากละครเวที The Lion King) จากที่นั่นทำให้เธอได้ข้ามไปอยู่ฝ่ายศิลป์ของ The Beach ผลงานโด่งดังของ แดนนี บอยล์ เธอได้ร่วมงานกับบอยล์ อีกหลายเรื่อง อาทิ Sunshine, Slumdog Millionaire, 127 Hours และ Trance กระทั่งงานออกแบบของเธอได้ปรากฎในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2012 ลอนดอนเกมส์ ที่ไม่ใช่แค่ออกแบบคอสตูมเพียงชุดเดียวอย่าง จักรยานนกพิราบ ที่หลายคนน่าจะจำกันได้ แต่จริง ๆ แล้วเธอออกแบบคอสตูมทั้งพิธีเปิด อีกทั้งยังเป็นผู้ออกแบบพิธีเปิดโอลิมปิกร่วมกับ มาร์ค ทิลเดสลีย์ (ผู้ออกแบบงานสร้างขาประจำของ แดนนี บอยล์, ไมเคิล วินเทอร์บอททอม, ไมค์ ลีห์) ภายใต้งานกำกับทั้งหมด โดย แดนนี่ บอยล์

แอนน์ให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งร่วมออกแบบพิธีเปิดว่า “เป็นผลงานที่เปิดกว้างมาก มากชนิดที่มันจะเป็นอะไรก็ยังได้เลย แต่โดยพื้นฐานแล้วเราแลกเปลี่ยนความคิดทุกอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัวเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอังกฤษ ในฐานะที่ฉันไม่ใช่คนอังกฤษ ฉันจึงสามารถนำเสนอสิ่งที่โลกคิดว่าสหราชอาณาจักรมีความหมายออกมาได้ คติประจำใจของทีมเราคือทุกสิ่งควรให้ความรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์: เฉพาะตัวและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่แค่ความลื่นไหลกับความสมบูรณ์แบบ”
No Time To Die
บทบาทเจมส์ บอนด์ ครั้งสุดท้ายของ แดเนียล เครก สายลับรหัส 007 ผู้มีรสนิยม รวมไปถึงตัวละครหลักทั้งหมดในเรื่องนี้เป็นผลงานออกแบบคอสตูมโดย แอนน์ เดิมทีหนังเรื่องนี้จะกำกับโดย แดนนี บอยล์ ซึ่งแอนน์เป็นขาประจำที่ทำงานมาด้วยกันหลายเรื่องอยู่แล้ว จึงถูกดึงตัวเข้ามาร่วมโปรเจกต์นี้ด้วย แต่แล้วเมื่อบอยล์บอกลาหนังเรื่องนี้ แล้วได้ แครี โจจิ ฟุคุนางะ (ซีรีส์ True Detective และหนังเน็ตฟลิกซ์ Beasts of No Nation) เข้ามาเสียบแทน ทำให้แอนน์ต้องออกจากโปรเจกต์นี้ไปโดยปริยาย กระทั่งบาร์บารา บร็อคโคลี โปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้ และแดเนียล เครก ติดต่อมาด้วยตัวเองเพื่อให้เธออยู่ต่อ ในที่สุดงานนี้จึงยังเป็นของเธอ
แอนน์ถามผู้กำกับฟุคุนางะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันว่า “ถ้าให้สรุปบทหนังทั้งเรื่องนี้เป็นคำศัพท์ไม่กี่คำ” คำตอบที่เธอได้คือ ‘grounded cool’ หรือเท่ห์ติดดิน เพราะเป็นผลงานบอนด์เรื่องสุดท้ายของเครก และตัวบอนด์ในเรื่องที่กำลังตั้งคำถามถึงเส้นทางอาชีพของเขา รวมถึงความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการให้ภาพลักษณ์ของบอนด์ฉบับนี้แตกต่างจากฉบับเดิม ๆ แอนน์เล่าว่า
“เครกเป็นบอนด์ที่มีความเป็นมนุษย์ อารมณ์อ่อนไหว และบางครั้งก็เปราะบาง ความเป็นมนุษย์ ความเป็นชาย ในชุดสุดเนี๊ยบแบบเจมส์ บอนด์ เสื้อผ้าต้องตอบสนองความคาดหวังของผู้ชมด้วยเช่นกัน แต่เราก็ต้องการให้ตัวละครสวมใส่มันให้ดูเหมือนอยู่ในชีวิตจริงด้วย แม้เครกจะใจกว้างมาก และไม่มีสิ่งใดในหนังเรื่องนี้ที่ไม่ได้มาจากการร่วมงานกันกับตัวละครอย่างใกล้ชิด แต่เราต้องคำนึงด้วยว่าตัวละครนี้มีตัวตนมีประวัติศาสตร์ของเขาเองในโลกภาพยนตร์ และเครกรู้จักตัวละครของเขาดีกว่าใครในโลก ดังนั้นฉันจะเคารพสิ่งเหล่านี้เป็นลำดับแรก”
Obi-Wan Kenobi
Star Wars ฉบับมินิซีรีส์ภาคแยกเล่าเหตุการณ์ 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ คำสั่งลับที่ 66 เมื่อครั้งจักรวรรดิพัลพาทีน (หรือดาร์ธ ซีเดียส) บัญชาให้กองทัพโคลนหันอาวุธกำจัดเหล่าเจไดทั้งหมด จนเกือบถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เหลือรอดมาไม่กี่คน เช่น โอบีวัน เคโนบี และโยดา ทำให้ในภาคมินิซีรีส์นี้ เคโนบี ต้องหลบซ่อนตัวบนดาว ทาทูอิน ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ และคอยจับตา ลุค สกายวอล์คเกอร์ ผู้เป็นความหวังสุดท้ายแห่งเจได อันเป็นช่วงที่เขาผิดหวังจากอนาคิน ที่ตกสู่ด้านมืดกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์ ขณะเดียวกันเจ้าหญิงเลอาวัยเด็กถูกลักพาตัว ทำให้โอบีวันต้องออกจากที่ซ่อนเพื่อช่วยเหลือเธอ
แอนน์เล่าการทำงานของเธอในเรื่องนี้ว่า “ฉันบาลานซ์ระหว่างความคุ้นเคยของแฟน ๆ กับความสดใหม่ งานวิจัยคราวนี้ของฉันคือเพื่อดึงความรู้สึกเป็น Star Wars ออกมาให้มีอยู่จริง รวมถึงให้สอดคล้องกับตัวตน บริบท สภาพแวดล้อม และจิตใจให้ชัดเจนผ่านชุดที่ใส่ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และองค์ประกอบต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะกับเฟรนไชส์นี้ที่มีมาอย่างยาวนานหลายยุคสมัย ฉันจึงต้องอ้างอิงเหตุการณ์ก่อนหน้า และต่อไปของเรื่อง การเลือกสี การเลือกซิลูเอท (รูปทรงของชุด) วัสดุ เนื้อสัมผัสของผ้าต่าง ๆ ก็จะต่างกันไปในตัวละครแต่ละกลุ่ม”
“ฉันต้องศึกษาข้อมูลว่าในจักรวาล Star Wars เคยมีอะไรมาแล้วบ้าง แนวทางที่แฟน ๆ คุ้นเคย แล้วเราจะขยับเติมเพิ่มสิ่งใหม่หรือปรับปรุงให้น่าสนใจได้อย่างไร เราต้องทำบอร์ดแยกแยะว่าอะไรใช่และอะไรที่ดูประหลาดเกินไปจากที่แฟน ๆ คาดหวัง ชุดของโอบีวัน ตัวละครหลักในคราวนี้ที่ต้องหลบซ่อนกลมกลืนกับคนอื่นบนดาว ขณะเดียวกันเราต้องการแสดงตัวตนว่าเขาเป็นเจได ฉันเลือกสีน้ำเงินในโทนที่ไม่ทำให้โดดเด่นจนเกินไป ส่วนตัวละครศัตรูคู่อาฆาตคือ เรวา เป็นชุดแรก ๆ ที่เราออกแบบก่อนใคร ชุดของเธอบอกสภาพจิตใจได้มากด้วยสีดำทั้งหมด แต่มีลูกเล่นที่ผิวสัมผัสด้วยวัสดุที่ต่างกัน เพื่อสร้างมิติให้เธอไม่ดูแบน หนักแน่น และมีความเป็นตัวร้าย ชุดต่าง ๆ มีน้ำหนักทางอารมณ์กับแฟน ๆ เฟรนไชส์ชุดนี้ที่มีหลากหลายช่วงอายุ มันจึงไม่ใช่แค่เครื่องแต่งกาย แต่เป็นบทบาท และจินตนาการที่คู่ขนานไปกับโลกแห่งความเป็นจริง”

จริง ๆ รายละเอียดด้านการออกแบบเรื่องนี้มีเยอะมาก สำหรับเราสิ่งที่น่าสนใจมากคือ แอนน์ เธอเลือกจะกลมกลืนรายละเอียดเหล่านั้นจนบางทีถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็จะแทบไม่เห็นเอาเลย หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่เราจะเล่าต่อไปนี้ โดยแอนน์เล่าว่า “สีชุดครุยของราชินีเบรฮา (แม่บุญธรรมของเจ้าหญิงเลอา) นั้นมีความเกี่ยวข้องโดยเจตนาด้วยสีงาช้างอันทำให้นึกถึงชุดอันเป็นเอกลักษณ์ของเลอาใน Star Wars ฉบับจอร์จ ลูคัส ปี 1977 ส่วนสีน้ำเงินที่ซ่อนอยู่นั้น เป็นการยกย่องสีอันเป็นสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์อัลเดอราน (ดาวบ้านเกิดของราชวงศ์ออร์กานา-ภายหลังถูกเดธสตาร์ ทำลายยกดาวใน Episode IV: A New Hope และเลอา คือเจ้าหญิงแห่งอัลเดอราน) ที่โดดเด่นด้วยลวดลายบนผ้าสีน้ำเงินนั้น ฉันได้ถาม ปาโบล อีดัลโก จากลูคัสฟิล์มว่าถ้าจะมีดอกไม้บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับอัลเดอราน จะเป็นดอกอะไร ฉันต้องการใช้แนวคิดสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ ซึ่งในประวัติศาสตร์มักจะใช้พืชพรรณหรือสัตว์ในราชสำนัก และราชินีก็มักจะเชื่อมโยงกับถิ่นฐานบ้านเกิดด้วยผ้าทออันประดับประดา อีดัลโก แนะนำว่า ในมังงะ Star Wars เคยกล่าวถึงดอกไม้อัลเดอราเนียนที่เรียกว่า ‘ดอกไม้ไข่มุกผู้ดิ้นรน (struggling pearl blossom)’ ลายดอกนี้ไม่เพียงจะอยู่บนชุดของเบรฮาแล้ว ยังอยู่กลางอกกลางใจของชุดเจ้าหญิงเลอาในวัยเด็กด้วย”

Alien: Earth
Alien ฉบับซีรีส์ที่กำลังจะปิดฉากสำคัญในสัปดาห์นี้ มันเป็นหนังไซ-ไฟ โลกอนาคตอันไกลโพ้น ที่ฉบับซีรีส์นี้เล่าเหตุการณ์ก่อนจะถึง ภาคหลักภาคแรกที่ถูกเล่าไปในหนังแล้วเมื่อปี 1979 ซึ่งในที่นี้ก็จะกลายเป็นว่า แฟชั่นและงานออกแบบใดใดอันแสนเชยตกยุคไปแล้วที่เคยปรากฎในภาคแรกนั้น จริง ๆ แล้วมันคือเหตุการณ์ในอนาคตของภาค Earth นี้ ดังนั้นมันจึงต้องเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันสนิท ซึ่งความน่าสนใจของภาค Earth คือการเล่าเรื่องบนพื้นที่ นิวสยาม ที่ซึ่งความล้ำและล้าหลังยังคงอยู่บนดินแดนนี้
แอนน์ เล่าว่า “นี่คือโปรดักชั่นยักษ์ใหญ่ ที่มีแค่ 8 ตอนแต่รู้สึกเหมือนกำลังทำหนัง 8 เรื่องอยู่เลย เกือบจะเหมือนทำปริญญาเอกด้านจักรวาลแฟรนไชส์ Alien ในมุมนึงเหมือนฉันกำลังเป็นผู้เชี่ยวชาญรุ่นจิ๋วในโลกเอเลี่ยนนี่ ที่ฉันมีส่วนร่วมในการทำให้โลกในจินตนาการนี้รู้สึกแท้จริงได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเราอยู่ในพรอดิจี้ ซิตี้ เราเติมกลิ่นอายทั้งย้อนยุคและล้ำยุคเข้าไป (ในเรื่องคือ นิวสยาม) เพื่อให้เรื่องสามารถจัดวางได้เข้ากับไทม์ไลน์ของ Alien ภาคแรกกับภาคสองยังคงสถานะสุนทรียศาสตร์เดียวกันได้อยู่”
“ชุดเหล่านี้ต้องไม่ขัดขวางการทำงาน การเล่น การกินข้าว อย่างตัวละครบอย คาวาเลียร์ เด็กอัจฉริยะเท้าเปล่าผู้เป็นซีอีโอเจ้าของพรอดิจี้ ชุดที่เขาสวมใส่ก็เหมือนอยู่ในชุดนอนตลอดเวลา แต่เราสร้างสีสันให้กับตัวละครนี้ด้วยผ้าทอ ผ้าถัก ผ้ามัดย้อมที่ดูเป็นคนติดดิน แล้วแม้เขาจะอยู่ในชุดที่เหมือนชุดนอน แต่ตัวละครนี้เป็นเหมือนคนที่ไม่เคยปิดสวิตเลย เพราะเขาจะตื่นอยู่ตลอดเวลา”

“อย่างตราสัญลักษณ์มันไม่อาจเป็นเพียงแค่เรื่องของสัญลักษณ์ ฉันอยากให้ผู้ชมเข้าใจจริง ๆ ว่ามีหน้าที่มากมายที่แตกต่างกันอยู่ในโลกที่ถูกอธิบายและส่วนใหญ่มันถูกอธิบายด้วย ‘เครื่องแบบ’ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ชมจะต้องสามารถเข้าใจได้ว่าเครื่องแบบเหล่านั้นสื่อถึงบทบาทใด”
“ฉันออกแบบรายละเอียดทั้งหมดเหล่านี้ในชุด เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตกลางแจ้งในสภาพอากาศร้อนชื้น มีหลายอย่างที่คุณอาจไม่ได้เห็นบนจอ แต่เราสร้างไว้ในเครื่องแต่งกาย เช่น การระบายอากาศจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งระบบน้ำในชุดเพื่อให้สามารถดื่มน้ำได้ตลอดเวลา มีช่องด้านหลังสำหรับใส่ถุงน้ำเหมือนหลังอูฐที่สามารถดึงหัวจ่ายน้ำออกมาจากด้านบนของเครื่องแบบได้ มันไม่ใช่แค่กระเป๋าเก็บของสุ่ม ๆ ทุกอย่างถูกออกแบบจากสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ ต่อการเอาตัวรอด”
สุทธิรัตน์ แอนน์ ลาลาภ ทิ้งท้ายประเด็นสำคัญให้ว่า “เครื่องแต่งกายเป็นส่วนขยายของพฤติกรรมตัวละคร เราจึงต้องเริ่มจากการศึกษาตัวละครนั้น ๆ ฉันชอบการศึกษาค้นคว้า ฉันรักการทำวิจัย และการเป็นนักเรียนเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างหิวกระหายและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา และเหนืออื่นใดการออกแบบต้องเคารพต่อสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องสร้างสิ่งใหม่ที่เข้ากับโลกของเรื่องด้วย”
Related posts:
- การกลับมาของมือวาดและมือเชือด…ในตำนาน Halloween Ends
- Impasto ความป่วยไข้ของโกยา หรือความคลั่งของสังคม
- ตำนานศึกของเสด็จพ่อ Saul Bass ที่เราเพิ่งรู้
- อำลาแด่ Colin Cantwell
- Evil Dead Rise เมื่อหนังใหม่หยิบยืมบางอย่างจากหนังเก่า
- 20 ปีเลสลี่จาง และคดีจ้วงแทงคู่รักเลสเบี้ยน



